จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมแพลทีเฮลมินธิส เป็นสิ่งมีชีวิตที่แพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว สามารถขยายพันธุ์ได้ถึง 1 ล้านตัวต่อวัน ในแต่ละปล้องของพยาธิตัวตืด สามารถแบ่งตัวและเติบโตเป็นพยาธิตัวใหม่ได้ เป็นพยาธิที่พบได้ทั่วโลก ชนิดที่พบบ่อย ได้แก่ พยาธิตัวตืดหมูและพยาธิตืดวัว พยาธิตืดวัวจะพบได้บ่อยกว่าพยาธิตืดหมู โดยเฉพาะในประเทศที่มีการเลี้ยงหมู วัว ควาย และนิยมรับประทานทั้งหมู เนื้อวัว และเนื้อควาย
พยาธิตัวเต็มวัย
อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของคน จะใช้ส่วนหัวเกาะที่ผนังลำไส้ และปล่อยให้ลำตัวแขวน เคลื่อนไหวเป็นอิสระในลำไส้ พยาธิตัวตืดมีลักษณะตัวแบนๆ คล้ายเส้นบะหมี่หรือ ก๋วยเตี๋ยว พยาธิตืดหมูมีขนาดเล็กและสั้นกว่าพยาธิตืดวัว โดยมีขนาดประมาณ 2-4 เมตร ส่วนพยาธิตืดวัวมีขนาดยาว 5-10 เมตร พยาธิจะสลัดปล้องสุกเป็นท่อนๆ ออก มาเป็นคราวปนออกมากับอุจจาระ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า บางครั้งปล้อง พยาธิอาจไชออกมาจากรูก้น ทำให้คนไข้รู้สึกคันก้น ภายในปล้องพยาธิเต็มไปด้วยไข่ พยาธิ เมื่อปล้องพยาธิแตกไข่จะออกมากับอุจจาระและกระจายอยู่ตามพื้นดิน
ไข่
มีลักษณะกลมสีน้ำตาลเหลือง เมื่อหมูหรือวัวกินไข่ของพยาธิตัวตืด (แล้วแต่ชนิด) เข้าไป ไข่จะฟักเป็นพยาธิตัวอ่อนในลำไส้แล้วไชเข้ากระแสเลือดไปอยู่ในกล้าม เนื้อทั่วร่างกาย และอวัยวะอื่นๆ ของหมูหรือวัว ลักษณะเป็นถุงน้ำใสเล็กๆ ขาวๆ คล้ายเม็ดสาคู มีหัวของพยาธิอยู่ภายในซึ่งเป็นระยะติดต่อ เมื่อคนกินหมูหรือวัวที่มี เม็ดสาคโดยไม่ปรุงสุกให้ดี พยาธิตัวอ่อนจะโผล่หัวออกมา และเจริญเติบโตเป็นพยาธิ เต็มวัยเกาะติดอยู่กับผนังลำไส้เล็กโดยมีปล้องยาวออกไปเรื่อยๆ พยาธิตัวเต็มวัยทำ ให้เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย เบื่ออาหาร รวมทั้งคลื่นไส้ อาเจียน และซีด จากภาวะโลหิตจาง
พยาธิตืดหมู เป็นโรคพยาธิที่เกิดจากพยาธิตืดหมู ทั้งนี้เพราะหมูเป็นโฮสท์กลางตัวสำคัญที่มีระยะติดต่ออันตรายของพยาธินี้ พยาธิตืดหมูทำให้เกิดโรคในคนได้ 2 อย่างคือ
- การที่มีพยาธิตัวแก่เต็มวัยอยู่ในลำไส้โดยที่คนจัดเป็นโฮสท์เฉพาะ ( Definitive host )
- การที่มีพยาธิตัวอ่อนเข้าไปฝังตัวในกล้ามเนื้อคน และมีถุงซีสต์หุ้มล้อมรอบอยู่ เรียก ซีสติเซอร์คัส เซลลูโลเซ (Cystucercus cellulosae) โดยที่คนถือเป็นโฮสท์กลาง ( Intermediate host )พบได้บ่อยในคนที่นิยมกินเนื้อหมูแบบดิบๆสุกๆ ในกลุ่มพวกยิว และอิสลามที่ไม่ทานหมู จึงไม่พบคน
ที่เป็นโรคนี้เลยหรือพบได้น้อยมาก
เขตปรากฎโรค
พบได้ทั่วโลก พบมากในผู้ที่ชอบรับประทานหมูสุกๆดิบๆ ในประเทศไทยพบมากแถบอีสานเนื่องจากรับประทานอาหารสุกๆดิบๆ เช่นลาบ น้ำตก หมู แหนมเป็นต้น
- การที่มีพยาธิตัวแก่เต็มวัยอยู่ในลำไส้โดยที่คนจัดเป็นโฮสท์เฉพาะ ( Definitive host )
- การที่มีพยาธิตัวอ่อนเข้าไปฝังตัวในกล้ามเนื้อคน และมีถุงซีสต์หุ้มล้อมรอบอยู่ เรียก ซีสติเซอร์คัส เซลลูโลเซ (Cystucercus cellulosae) โดยที่คนถือเป็นโฮสท์กลาง ( Intermediate host )พบได้บ่อยในคนที่นิยมกินเนื้อหมูแบบดิบๆสุกๆ ในกลุ่มพวกยิว และอิสลามที่ไม่ทานหมู จึงไม่พบคน
ที่เป็นโรคนี้เลยหรือพบได้น้อยมาก
เขตปรากฎโรค
พบได้ทั่วโลก พบมากในผู้ที่ชอบรับประทานหมูสุกๆดิบๆ ในประเทศไทยพบมากแถบอีสานเนื่องจากรับประทานอาหารสุกๆดิบๆ เช่นลาบ น้ำตก หมู แหนมเป็นต้น
วงจรชีวิตของพยาธิ
ตัวแก่ของพยาธิตืดหมูอาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของคนซึ่งจัดเป็นโฮสท์เฉพาะ ปล้องแก่ของตัวพยาธิจะหลุดออกปนมากับอุจจาระหรือหลุดออกมาเอง ปล้องเดียว หรือ2-3 ปล้อง ในแต่ละปล้องจะมีไข่อยู่ประมาณ 1000 ฟองต่อมาปล้องจะแตกออกปล่อยไข่กระจายปนเปื้อนอยู่ปนพื้นดินหรือติดไปตามต้นหญ้า บางครั้งปล้องอาจแตกออกก่อนในลำไส้ใหญ่ ไข่จะปนออกมากับอุจจาระ ไข่ที่มีตัวอ่อนในระยะติดต่ออยู่จะเรียกว่า Oncospore (ออนโคสปอร์) เมื่อหมูซึ่งเป็นโฮสท์กลาง กินเอาปล้องของพยาธิตัวตืด หรือไข่พยาธิระยะ Oncospore เข้าไปตัวอ่อนจะไชออกจากไข่แล้วไชทุลุผนังลำไส้เข้าสู่วงจรเลือดหรือน้ำเหลืองไปยังกล้ามเนื้อทั่วร่างกายของหมูฝังตัวอยู่โดยมีถุงหุ้มล้อมรอบตัวอยู่เรียกว่า cysticercus ( ซิสติเซอร์คัส )ซึ่งถือเป็นระยะติดต่ออันตราย ระยะเวลาทั้งหมดกินเวลาประมาณ 60 - 70 วัน เนื้อหมูที่มี cysticercus ( ซิสติเซอร์คัส ) อยู่เรียกว่าหมูสาคู เพราะจะดูคล้ายๆเม็ดสาคูอยู่ในเนื้อหมูนั้น เมื่อคนกินเนื้อหมูสาคูที่มีระยะติดต่ออันตรายแบบดิบๆสุกๆเข้าไป เมื้อเนื้อหมูถูกย่อยก็จะปล่อย cycticercus ออกมา พอเคลื่อนตัวมาถึงลำไส้เล็กส่วนหัวเรียกว่า Scolex (สโคเล็กซ์ ) จะยื่นโผล่ออกมา แล้วใช้ส่วนที่เป็น ขอ (hook) และส่วนดูดติด ( sucker) มาเกาะติดกับผนังลำไส้ ดูดเลือดและอาหารและจะค่อยๆงอกปล้องออกมาเรื่อยๆ เจริญต่อไปเป็นตัวแก่ต่อไป ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 - 3 เดือน ปล้องแก่เมื่อมีไข่เต็มก็จะหลุดออกปนไปกับอุจจาระเพื่อไปติดต่อ ต่อไป
อาการและลักษณะพยาธิสภาพ
โดยทั่วไปมักไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรงแต่อย่างใด แต่จะเป็นโรคที่เกิดจากการถูกแย่งอาหาร และการระคายเคืองจากสารพิษของพยาธิเอง ที่พบได้บ่อยเช่น ผอมลง น้ำหนักลด ขาดอาหารทั้งที่ทานได้เป็นปกติ หิวบ่อย ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน อุจจาระบ่อย กระสับกระสาย นอนไม่หลับ อาการแพ้ คัน ลมพิษ
การตรวจวินิจฉัยโรค
1. ตรวจพบไข่พยาธิ ตัวตืดในอุจจาระ พยาธิตืดหมูและตืดวัวมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ต่างกันที่ขนาด การตรวจจากปล้องจะแน่นอนกว่า
2. การตรวจจากปล้องที่หลุดปนออกมากับอุจจาระ โดยที่ปล้องของตืดหมูจะมีแขนงภายในปล้องน้อยกว่าตืดวัว
การรักษา
1. Niclosamide ( Yomesan ) มีฤิทธ์ฆ่าเชื้อพยาธิตัวตืดหมู เป็นยาเม็ดขนาด 0.5 กรัม ทาน 4 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน รอประมาณ 2 ชั่วโมง อาจทานยาถ่ายตาม
2. Mebendazole (Fugacar) เป็นยาเม็ดขนาด 100 มิลลิกรัม ทานครั้งละ 2 เม็ด ให้กินเช้าเย็นติดต่อกันนาน 4 วัน ให้ผลในการรักษาถึงร้อยละ 90
การป้องกัน
1. เนื้อหมูที่นำมารับประทานต้องไม่เป็นเนื้อที่มีตัวอ่อนพยาธิฝังตัวอยู่ เรียกเนื้อสาคู
2. รับประทานเนื้อหมูที่ทำให้สุกแล้วเท่านั้น ไม่ทานเนื้อที่กึ่งสุกๆดิบๆ เช่น ยำ พล่า แหนม
3. กำจัดอุจจาระให้เป็นที่เป็นทางถูกหลักสุขอนามัย
4. ให้ยาถ่ายพยาธิแก่คนที่เป็นโรคนี้
โรคพยาธิตืดวัว (Teaniasis saginata)
โรคพยาธิตืดวัว เป็นโรคที่เกิดพยาธิตืดวัว Teania saginata ( ทีเนีย ซาจินาตา ) โดยมีวัวเป็นโฮสท์กลางที่สำคัญ การติดต่อของพยาธิเป็นได้ดังต่อไปนี้ การเกิดโรคในคนที่มีตัวแก่อาศัยอยู่ในลำไส้คน และไม่ปรากฏว่ามีปรากฏการณ์ที่ตัวอ่อนพยาธิตืดวัวเข้าไปฝังตัวและมีถุงซิสท์หุ้มล้อมรอบในเนื้อเยื่อเหมือนของพยาธิตืดวัว พบได้ในคนที่นิยมรับประทายเนื้อวัว ควาย ดิบ สุกๆดิบๆ วึ่งมีโอกาสที่มีพยาธิพวกนี้มาก
วงจรชีวิตของพยาธิ
ตัวแก่ของพยาธิตืดวัวอาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของคนซึ่งจัดเป็นโฮสท์เฉพาะ ปล้องแก่ของตัวพยาธิจะหลุดออกปนมากับอุจจาระหรือหลุดออกมาเอง ปล้องเดียวหรือ2-3 ปล้อง ในแต่ละปล้องจะมีไข่อยู่ประมาณ 1000 ฟอง ต่อมาปล้องจะแตกออกปล่อยไข่กระจายปนเปื้อนอยู่ปนพื้นดินหรือติดไปตามต้นหญ้า บางครั้งปล้องอาจแตกออกก่อนในลำไส้ใหญ่ ไข่จะปนออกมากับอุจจาระ ไข่ที่มีตัวอ่อนในระยะติดต่ออยู่จะเรียกว่า Oncospore (ออนโคสปอร์) เมื่อวัวซึ่งเป็นโฮสท์กลางกินเอาปล้องของพยาธิตัวตืด หรือไข่พยาธิระยะ Oncospore เข้าไปตัวอ่อนจะไชออกจากไข่แล้วไชทะลุผนังลำไส้เข้าสู่วงจรเลือด หรือน้ำเหลืองไปยังกล้ามเนื้อทั่วร่างกายของวัว ฝังตัวอยู่โดยมีถุงหุ้มล้อมรอบตัวอยู่เรียกว่า cysticercus ( ซิสติเซอร์คัส ) ซึ่งถือเป็นระยะติดต่ออันตรายเนื้อวัวที่มี cysticercus ( ซิสติเซอร์คัส ) อยู่ เรียกว่า cysticercus bovis ( ซิสติเซอร์คัส โบวิส ) จะดูคล้ายๆเม็ดสาคูอยู่ในเนื้อวัวนั้นเมื่อคนกินเนื้อวัวที่มีระยะติดต่ออันตรายแบบดิบๆสุกๆเข้าไป เมื่อเนื้อวัวถูกย่อยก็จะปล่อย cycticercus ออกมา พอเคลื่อนตัวมาถึงลำไส้เล็กส่วนหัวเรียกว่า Scolex(สโคเล็กซ์ ) จะยื่นโผล่ออกมา แล้วใช้ส่วนที่เป็น ขอ (hook) และส่วนดูดติด ( sucker) มาเกาะติดกับผนังลำไส้ ดูดเลือดและอาหารและจะค่อยๆงอกปล้องออกมาเรื่อยๆ เจริญต่อไปเป็นตัวแก่ต่อไป ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 - 3 เดือน ปล้องแก่เมื่อมีไข่เต็มก็จะหลุดออกปนไปกับอุจจาระเพื่อไปติดต่อ ต่อไป
อาการและลักษณะพยาธิสภาพ
โดยทั่วไปมักไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรงแต่อย่างใด แต่จะเป็นโรคที่เกิดจากการถูกแย่งอาหาร และการระคายเคืองจากสารพิษของพยาธิเอง ที่พบได้บ่อยเช่นผอมลง น้ำหนักลด ขาดอาหารทั้งที่ทานได้เป็นปกติ หิวบ่อย ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน อุจจาระบ่อย กระสับกระสาย นอนไม่หลับอาการ แพ้คัน ลมพิษ
การตรวจวินิจฉัยโรค
1. ตรวจพบไข่พยาธิ ตัวตืดในอุจจาระ พยาธิตืดหมูและตืดวัวมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ต่างกันที่
ขนาด การตรวจจากปล้องจะแน่นอนกว่า
2. การตรวจจากปล้องที่หลุดปนออกมากับอุจจาระ โดยที่ปล้องของตืดหมูจะมีแขนงภายในปล้อง
น้อยกว่าตืดวัว
การรักษา
1. Niclosamide ( Yomesan ) มีฤิทธ์ฆ่าเชื้อพยาธิตัวตืดหมู เป็นยาเม็ดขนาด 0.5 กรัม ทาน 4 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน รอประมาณ 2 ชั่วโมง อาจทานยาถ่ายตามเช่น ดีเกลืออิ่นตัว 30 ซี.ซี.เมื่อให้ยาถ่ายจะพบว่าตัวพยาธิจะถูกขับออกมา แต่ถ้าไม่ให้ยาถ่ายพยาธิที่ตายจะค่อยๆถูกย่อยสลายปนออกมากับอุจจาระไป ข้อควรระวังการให้ยาถ่ายคือควรให้ยากันอาเจียนก่อนให้ยาถ่าย และควรให้ยาถ่ายเพื่อกำจัดปล้องออกมา เพราะถ้าตัวแก่ตายอยู่ภายในร่างกายปล้องที่ถูกย่อย มีอาการท้องผูก ท้องอืด หรือคลื่นไส้อาเจียน จะทำให้ไข่พยาธิที่แตกออกมาจากปล้อง ถูกย่อยและขย้อยกลับมาที่บริเวณลำไส้เล็ก ไข่พยาธิตัวอ่อนระยะ Oncospore (ออนโคสปอร์)ก็จะออกมาพร้อมกับไชทะลุลำไส้กระจายไปฝังตัวตามเนื้อเยื่อส่วนต่างๆทั่วร่างกายกลายเป็นระยะcysticercus ( ซิสติเซอร์คัส ) ขึ้นมาได้
2. Mebendazole (Fugacar) เป็นยาเม็ดขนาด 100 มิลลิกรัม ทานครั้งละ 2 เม็ด ให้กินเช้าเย็นติดต่อกันนาน 4 วัน ให้ผลในการรักษาถึงร้อยละ 90
การป้องกัน
1. เนื้อวัว ควาย ที่นำมารับประทานต้องไม่เป็นเนื้อที่มีตัวอ่อนพยาธิฝังตัวอยู่ เรียกเนื้อสาคู
2. รับประทานเนื้อวัว ควาย ที่ทำให้สุกแล้วเท่านั้น ไม่ทานเนื้อที่กึ่งสุกๆดิบๆ เช่น ยำ พล่า แหนม
3. กำจัดอุจจาระให้เป็นที่เป็นทางถูกหลักสุขอนามัย
4. ให้ยาถ่ายพยาธิแก่คนที่เป็นโรคนี้
โรคพยาธิตืดหนู(Hymenolepaisis)
Hymenolepiasis diminuta (ไฮเมโนเลปซิส ไดมินูตา) เป็นโรคพยาธิที่เกิดจากพยาธิ
4 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน รอประมาณ 2 ชั่วโมง อาจทานยาถ่ายตามเช่น ดีเกลืออิ่นตัว 30
ซี.ซี. เมื่อให้ยาถ่ายจะพบว่าตัวพยาธิจะถูกขับออกมา แต่ถ้าไม่ให้ยาถ่ายพยาธิที่ตายจะค่อยๆถูกย่อย
สลายปนออกมากับอุจจาระไป ข้อควรระวังการให้ยาถ่ายคือควรให้ยากันอาเจียนก่อนให้ยาถ่าย และ
ควรให้ยาถ่ายเพื่อกำจัดปล้องออกมา เพราะถ้าตัวแก่ตายอยู่ภายในร่างกาย ปล้องที่ถูกย่อย กอรปกับ
การมีอาการท้องผูก ท้องอืด หรือคลื่นไส้อาเจียน จะทำให้ไข่พยาธิที่แตกออกมาจากปล้องถูกย่อยและ
ขย้อยกลับมาที่บริเวณลำไส้เล็กไข่พยาธิตัวอ่อนระยะ Oncospore (ออนโคสปอร์) ก็จะออกมาพร้อม
กับไชทะลุลำไส้กระจายไปฝังตัวตามเนื้อเยื่อส่วนต่างๆทั่วร่างกายกลายเป็นระยะ cysticercus
( ซิสติเซอร์คัส ) ขึ้นมาได้
3.Mebendazole (Fugacar) เป็นยาเม็ดขนาด 100 มิลลิกรัม ทานครั้งละ 2 เม็ด ให้กินเช้าเย็นติดต่อกันนาน 4 วัน ให้ผลในการรักษาถึงร้อยละ 90
พยาธิตัวตืดแคระนี้ เป็นประเภทเดียวกับพยาธิตัวตืดที่พบในหนูและสุนัข ทำให้เกิดโรคในแมวได้เช่นเดียวกัน พยาธิที่พบในสัตว์เหล่านี้จะตัวเล็ก โดยปกติจะไม่ติดมาที่คน แต่หากเป็นการบังเอิญ ถ้าอาหารมีตัวหนอนหรือแมลงซึ่งมีตัวอ่อนพยาธิอยู่ก็ทำให้พยาธิเข้าสู่ร่างกายคนได้
Echinococcosis พบระบาด บ่อยตาม แถบภูมิประเทศ ที่เลี้ยงแกะ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ ปัจจุปันนี้ พบมาก แถบอัฟริกาตะวันออก บางประเทศ ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนโดยเฉพาะ ประเทศกรีกซ์ และ บางส่วน ของประเทศรัสเซีย ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ เช่น ประเทศอูรุกวัย ชิลี และอาร์เยนตินา เป็นต้น สำหรับ ประเทศไทย พบได้น้อย เคยมีรายงาน ไว้ใน วารสารทางการแพทย์ ไม่มากนัก จังหวัด ที่เคยมี รายงานพบ โรคนี้ ได้แก่ จังหวัดราชบุรี พบในผู้ป่วยหญิง มีอาชีพ เลี้ยงวัว และแกะขาย และ มีสุนัข ไว้เฝ้าบ้าน รายงานส่วนใหญ่ พบที่ ปอด และตับ
พยาธิตืดปลา
พยาธิตัวตืดปลา เป็นพยาธิตัวตืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบในคน ในสหรัฐอเมริกาจะไม่ค่อยพบพยาธิชนิดนี้ ลำตัวอาจยาวถึง 40 ฟุต (มากกว่า 10 เมตร) แต่ละปล้องจะกว้างถึงครึ่งนิ้วฟุต (13 ม.ม.) ในหนึ่งตัวอาจมีถึงสามพันปล้องก็ได้ ไข่ของพยาธิชนิดนี้จะแตกเป็นตัวอ่อนในน้ำ แล้วตัวอ่อนเข้าไปอยู่ในตัวปลา เมื่อคนกินปลาที่เป็นพยาธิตัวตืด คนก็จะติดโรคพยาธินี้ไปด้วย พยาธิตัวตืดชนิดนี้จะพบในปลาน้ำจืด ปลาเค็มหรือปลารมควันจะไม่ทำให้ตัวอ่อนของพยาธิตายได้ นอกจากการทำให้ปลาสุก บางครั้งโลหิตจางที่เกิดจากพยาธิตัวตืดปลา จะมีอาการคล้ายกับการเป็นโรคโลหิตจางชนิดรุนแรง ผู้ที่เป็นโรคพยาธิตัวตืดปลาอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องหิว ท้องร่วง ปวดท้อง และน้ำหนักลดน้อยกว่าโรคพยาธิตัวตืดวัวซึ่งแต่ละประเทศก็มีความชุกของโรคแตกต่างกันไป พบว่าตัวอ่อนของพยาธิจะไปอยู่ตามกล้ามเนื้อของอวัยวะต่างๆ ของสัตว์ เช่นที่คอ ลิ้นและไหล่ การมีพยาธิตัวตืดหมูอาจจะไม่ทำให้เกิดอาการใดๆก็ได้ แต่ในบางรายอาจทำให้เกิดมีอาการเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร เช่น ปวดท้อง ท้องร่วงสลับกับอาการท้องผูก เป็นต้น
อ้างอิง
http://www.thailabonline.com/tropical-cystode.htm
http://www.tm.mahidol.ac.th/th/tropical-medicine-knowledge/new/Cestoda.html
http://www.med.cmu.ac.th/dept/parasite/public/Taeniasis.htm
http://www.healthcarethai.com/
http://cai.md.chula.ac.th/chulapatho/chulapatho/lecturenote/infection/parasite/echinococcosi s.html
http://vet.kku.ac.th/pathology/somboon/DOGhelminth/lectape_diphyllo.htm
http://healthmeplease.com/โรคพยาธิตัวตืด-tapeworm.html
ตัวแก่ของพยาธิตืดหมูอาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของคนซึ่งจัดเป็นโฮสท์เฉพาะ ปล้องแก่ของตัวพยาธิจะหลุดออกปนมากับอุจจาระหรือหลุดออกมาเอง ปล้องเดียว หรือ2-3 ปล้อง ในแต่ละปล้องจะมีไข่อยู่ประมาณ 1000 ฟองต่อมาปล้องจะแตกออกปล่อยไข่กระจายปนเปื้อนอยู่ปนพื้นดินหรือติดไปตามต้นหญ้า บางครั้งปล้องอาจแตกออกก่อนในลำไส้ใหญ่ ไข่จะปนออกมากับอุจจาระ ไข่ที่มีตัวอ่อนในระยะติดต่ออยู่จะเรียกว่า Oncospore (ออนโคสปอร์) เมื่อหมูซึ่งเป็นโฮสท์กลาง กินเอาปล้องของพยาธิตัวตืด หรือไข่พยาธิระยะ Oncospore เข้าไปตัวอ่อนจะไชออกจากไข่แล้วไชทุลุผนังลำไส้เข้าสู่วงจรเลือดหรือน้ำเหลืองไปยังกล้ามเนื้อทั่วร่างกายของหมูฝังตัวอยู่โดยมีถุงหุ้มล้อมรอบตัวอยู่เรียกว่า cysticercus ( ซิสติเซอร์คัส )ซึ่งถือเป็นระยะติดต่ออันตราย ระยะเวลาทั้งหมดกินเวลาประมาณ 60 - 70 วัน เนื้อหมูที่มี cysticercus ( ซิสติเซอร์คัส ) อยู่เรียกว่าหมูสาคู เพราะจะดูคล้ายๆเม็ดสาคูอยู่ในเนื้อหมูนั้น เมื่อคนกินเนื้อหมูสาคูที่มีระยะติดต่ออันตรายแบบดิบๆสุกๆเข้าไป เมื้อเนื้อหมูถูกย่อยก็จะปล่อย cycticercus ออกมา พอเคลื่อนตัวมาถึงลำไส้เล็กส่วนหัวเรียกว่า Scolex (สโคเล็กซ์ ) จะยื่นโผล่ออกมา แล้วใช้ส่วนที่เป็น ขอ (hook) และส่วนดูดติด ( sucker) มาเกาะติดกับผนังลำไส้ ดูดเลือดและอาหารและจะค่อยๆงอกปล้องออกมาเรื่อยๆ เจริญต่อไปเป็นตัวแก่ต่อไป ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 - 3 เดือน ปล้องแก่เมื่อมีไข่เต็มก็จะหลุดออกปนไปกับอุจจาระเพื่อไปติดต่อ ต่อไป
Cysticercosis
วงจรชีวิตของพยาธิตืดหมูได้กล่าวแล้วข้างต้น อาจจะมีวงจรที่ผิดปกติกล่าวคือ ถ้าคนรับประทานไข่พยาธิตืดหมูที่ติดตามผัก ผลไม้ หรืออาเจียนขย้อนปล้องแก่ของพยาธินี้มาที่กระเพาะคน ก็จะเป็นโฮสท์กลางของพยาธิกลางเหมือนหมู พยาธินี้จะเจริญเหมือนในหมู พยาธิตัวอ่อนจะฟักจากไข่แล้ว ไชทะลุลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดหรือน้ำเหลืองไปยังกล้ามเนื้อหรืออวัยวะต่างๆ เช่น เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ สมอง ไขสันหลัง ตา หัวใจ ตับ ปอด และในช่องท้องแล้วฝังตัวและมีถุงน้ำหุ้ม
อาการและอาการแสดงต่างๆขึ้นกับตำแหน่งของ cyst ถ้าอยู่ใต้ผิวหนังก็จะมีก้อนใต้ผิวหนัง ถ้าอยู่ที่ตาก็จะปวดตา ตาพร่ามัว สายตาผิดปกติหรือตาบอด ถ้า cyst อยู่ในสมองผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการ หรืออาจจะมีอาการปวดศีรษะเนื่องจาก cyst ไปอุดทางเดินน้ำไขสันหลังทำให้ความดันในสมองสูง อาจจะทำให้เกิดอาการชักซึ่งเป็นอาการที่ผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด
พยาธิตืดหมูจะเข้าสู่ร่างกายคนได้ดังต่อไปนี้
- จากการดื่ม หรือรับประทานอาหารที่มีไข่ของพยาธิ เช่นผัก ผลไม้ เป็นต้น
- จากการรับประทานตัวอ่อนของพยาธิที่อยู่ในกล้ามเนื้อของหมู
- จากการที่ขย้อนปล้องแก่เข้ากระเพาะ ทำให้เหมือนเรากินไข่พยาธิ
อาการและลักษณะพยาธิสภาพ
โดยทั่วไปมักไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรงแต่อย่างใด แต่จะเป็นโรคที่เกิดจากการถูกแย่งอาหาร และการระคายเคืองจากสารพิษของพยาธิเอง ที่พบได้บ่อยเช่น ผอมลง น้ำหนักลด ขาดอาหารทั้งที่ทานได้เป็นปกติ หิวบ่อย ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน อุจจาระบ่อย กระสับกระสาย นอนไม่หลับ อาการแพ้ คัน ลมพิษ
การตรวจวินิจฉัยโรค
1. ตรวจพบไข่พยาธิ ตัวตืดในอุจจาระ พยาธิตืดหมูและตืดวัวมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ต่างกันที่ขนาด การตรวจจากปล้องจะแน่นอนกว่า
2. การตรวจจากปล้องที่หลุดปนออกมากับอุจจาระ โดยที่ปล้องของตืดหมูจะมีแขนงภายในปล้องน้อยกว่าตืดวัว
3. ตรวจพบตุ่มใต้ผิวหนัง เมื่อตัดออกไปตรวจจะพบถุงน้ำและพยาธิตัวอ่อน
4.ภาพรังสีของกล้ามเนื้อและกะโหลกจะพบหินปูนเป็นจุดๆ
5.การตรวจ x-ray computer จะพบถุงน้ำและตัวอ่อน
ภาพแสดง cyst ตืดวัวและตืดหมูซึ่งไม่แตกต่างกัน
ภาพแสดงปล้องของพยาธิตัวแก่
ปล้องของตืดวัวTaenia saginata และ ปล้องของตืดหมู Taenia solium
ภาพแสดงส่วนหัวของพยาธิตัวแก่
หัวของตืดวัว มี 4 sucker และ หัวของตืดหมูมี 4 sucker และ 1 hooker
ภาพแสดงความยาวพยาธิตัวแก่
1. Niclosamide ( Yomesan ) มีฤิทธ์ฆ่าเชื้อพยาธิตัวตืดหมู เป็นยาเม็ดขนาด 0.5 กรัม ทาน 4 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน รอประมาณ 2 ชั่วโมง อาจทานยาถ่ายตาม
2. Mebendazole (Fugacar) เป็นยาเม็ดขนาด 100 มิลลิกรัม ทานครั้งละ 2 เม็ด ให้กินเช้าเย็นติดต่อกันนาน 4 วัน ให้ผลในการรักษาถึงร้อยละ 90
3. พยาธิที่ฝังตัวในสมองให้ใช้ Praziquantel ขนาด 50 มก./กก/วัน แบ่งให้วันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์
4. ให้ยา Albendazole ให้ขนาด 15 มก./กก/วัน แบ่งให้วันละ 2-3 ครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์การป้องกัน
1. เนื้อหมูที่นำมารับประทานต้องไม่เป็นเนื้อที่มีตัวอ่อนพยาธิฝังตัวอยู่ เรียกเนื้อสาคู
2. รับประทานเนื้อหมูที่ทำให้สุกแล้วเท่านั้น ไม่ทานเนื้อที่กึ่งสุกๆดิบๆ เช่น ยำ พล่า แหนม
3. กำจัดอุจจาระให้เป็นที่เป็นทางถูกหลักสุขอนามัย
4. ให้ยาถ่ายพยาธิแก่คนที่เป็นโรคนี้
5. ล้างมือหลังออกจากห้องน้ำ ล้างมือก่อนปรุงและรับประทานอาหาร
6. ล้างผักและอาหารสดให้สะอาด
7. ดื่มน้ำต้มสุกโรคพยาธิตืดวัว (Teaniasis saginata)
โรคพยาธิตืดวัว เป็นโรคที่เกิดพยาธิตืดวัว Teania saginata ( ทีเนีย ซาจินาตา ) โดยมีวัวเป็นโฮสท์กลางที่สำคัญ การติดต่อของพยาธิเป็นได้ดังต่อไปนี้ การเกิดโรคในคนที่มีตัวแก่อาศัยอยู่ในลำไส้คน และไม่ปรากฏว่ามีปรากฏการณ์ที่ตัวอ่อนพยาธิตืดวัวเข้าไปฝังตัวและมีถุงซิสท์หุ้มล้อมรอบในเนื้อเยื่อเหมือนของพยาธิตืดวัว พบได้ในคนที่นิยมรับประทายเนื้อวัว ควาย ดิบ สุกๆดิบๆ วึ่งมีโอกาสที่มีพยาธิพวกนี้มาก
วงจรชีวิตของพยาธิ
ตัวแก่ของพยาธิตืดวัวอาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของคนซึ่งจัดเป็นโฮสท์เฉพาะ ปล้องแก่ของตัวพยาธิจะหลุดออกปนมากับอุจจาระหรือหลุดออกมาเอง ปล้องเดียวหรือ2-3 ปล้อง ในแต่ละปล้องจะมีไข่อยู่ประมาณ 1000 ฟอง ต่อมาปล้องจะแตกออกปล่อยไข่กระจายปนเปื้อนอยู่ปนพื้นดินหรือติดไปตามต้นหญ้า บางครั้งปล้องอาจแตกออกก่อนในลำไส้ใหญ่ ไข่จะปนออกมากับอุจจาระ ไข่ที่มีตัวอ่อนในระยะติดต่ออยู่จะเรียกว่า Oncospore (ออนโคสปอร์) เมื่อวัวซึ่งเป็นโฮสท์กลางกินเอาปล้องของพยาธิตัวตืด หรือไข่พยาธิระยะ Oncospore เข้าไปตัวอ่อนจะไชออกจากไข่แล้วไชทะลุผนังลำไส้เข้าสู่วงจรเลือด หรือน้ำเหลืองไปยังกล้ามเนื้อทั่วร่างกายของวัว ฝังตัวอยู่โดยมีถุงหุ้มล้อมรอบตัวอยู่เรียกว่า cysticercus ( ซิสติเซอร์คัส ) ซึ่งถือเป็นระยะติดต่ออันตรายเนื้อวัวที่มี cysticercus ( ซิสติเซอร์คัส ) อยู่ เรียกว่า cysticercus bovis ( ซิสติเซอร์คัส โบวิส ) จะดูคล้ายๆเม็ดสาคูอยู่ในเนื้อวัวนั้นเมื่อคนกินเนื้อวัวที่มีระยะติดต่ออันตรายแบบดิบๆสุกๆเข้าไป เมื่อเนื้อวัวถูกย่อยก็จะปล่อย cycticercus ออกมา พอเคลื่อนตัวมาถึงลำไส้เล็กส่วนหัวเรียกว่า Scolex(สโคเล็กซ์ ) จะยื่นโผล่ออกมา แล้วใช้ส่วนที่เป็น ขอ (hook) และส่วนดูดติด ( sucker) มาเกาะติดกับผนังลำไส้ ดูดเลือดและอาหารและจะค่อยๆงอกปล้องออกมาเรื่อยๆ เจริญต่อไปเป็นตัวแก่ต่อไป ระยะนี้กินเวลาประมาณ 2 - 3 เดือน ปล้องแก่เมื่อมีไข่เต็มก็จะหลุดออกปนไปกับอุจจาระเพื่อไปติดต่อ ต่อไป
อาการและลักษณะพยาธิสภาพ
โดยทั่วไปมักไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรงแต่อย่างใด แต่จะเป็นโรคที่เกิดจากการถูกแย่งอาหาร และการระคายเคืองจากสารพิษของพยาธิเอง ที่พบได้บ่อยเช่นผอมลง น้ำหนักลด ขาดอาหารทั้งที่ทานได้เป็นปกติ หิวบ่อย ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน อุจจาระบ่อย กระสับกระสาย นอนไม่หลับอาการ แพ้คัน ลมพิษ
การตรวจวินิจฉัยโรค
1. ตรวจพบไข่พยาธิ ตัวตืดในอุจจาระ พยาธิตืดหมูและตืดวัวมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ต่างกันที่
ขนาด การตรวจจากปล้องจะแน่นอนกว่า
2. การตรวจจากปล้องที่หลุดปนออกมากับอุจจาระ โดยที่ปล้องของตืดหมูจะมีแขนงภายในปล้อง
น้อยกว่าตืดวัว
การรักษา
1. Niclosamide ( Yomesan ) มีฤิทธ์ฆ่าเชื้อพยาธิตัวตืดหมู เป็นยาเม็ดขนาด 0.5 กรัม ทาน 4 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน รอประมาณ 2 ชั่วโมง อาจทานยาถ่ายตามเช่น ดีเกลืออิ่นตัว 30 ซี.ซี.เมื่อให้ยาถ่ายจะพบว่าตัวพยาธิจะถูกขับออกมา แต่ถ้าไม่ให้ยาถ่ายพยาธิที่ตายจะค่อยๆถูกย่อยสลายปนออกมากับอุจจาระไป ข้อควรระวังการให้ยาถ่ายคือควรให้ยากันอาเจียนก่อนให้ยาถ่าย และควรให้ยาถ่ายเพื่อกำจัดปล้องออกมา เพราะถ้าตัวแก่ตายอยู่ภายในร่างกายปล้องที่ถูกย่อย มีอาการท้องผูก ท้องอืด หรือคลื่นไส้อาเจียน จะทำให้ไข่พยาธิที่แตกออกมาจากปล้อง ถูกย่อยและขย้อยกลับมาที่บริเวณลำไส้เล็ก ไข่พยาธิตัวอ่อนระยะ Oncospore (ออนโคสปอร์)ก็จะออกมาพร้อมกับไชทะลุลำไส้กระจายไปฝังตัวตามเนื้อเยื่อส่วนต่างๆทั่วร่างกายกลายเป็นระยะcysticercus ( ซิสติเซอร์คัส ) ขึ้นมาได้
2. Mebendazole (Fugacar) เป็นยาเม็ดขนาด 100 มิลลิกรัม ทานครั้งละ 2 เม็ด ให้กินเช้าเย็นติดต่อกันนาน 4 วัน ให้ผลในการรักษาถึงร้อยละ 90
การป้องกัน
1. เนื้อวัว ควาย ที่นำมารับประทานต้องไม่เป็นเนื้อที่มีตัวอ่อนพยาธิฝังตัวอยู่ เรียกเนื้อสาคู
2. รับประทานเนื้อวัว ควาย ที่ทำให้สุกแล้วเท่านั้น ไม่ทานเนื้อที่กึ่งสุกๆดิบๆ เช่น ยำ พล่า แหนม
3. กำจัดอุจจาระให้เป็นที่เป็นทางถูกหลักสุขอนามัย
4. ให้ยาถ่ายพยาธิแก่คนที่เป็นโรคนี้
โรคพยาธิตืดหนู(Hymenolepaisis)
โรคพยาธิตืดหนูเกิดจาก Hymenolepis diminuta มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษเรียก rat tapeworm และชื่อโรคเรียก rat tapeworm infection หรือ Hymenolepiasis diminuta ชื่อพร้องมีหลายชื่อ เช่น Taenia diminute, Taenia leptoce phala, Taenia flavopunctata หรือ Taenia minima
H. diminuta พบได้ในหนู ทั้งหนูขาวใหญ่ (rat) และหนูขาวเล็ก (mouse) และพบในคน พบครั้งแรกโดย Olfers ในหนูแรทที่เมืองริโอดิเจอไนโร ในปี 1766 พบในคนโดย Weinland ในปี ค.ศ. 1858
ไฮเมโนเลปซิส ไดมินูตา อาศัยอยู่ในลำไส้ พยาธินี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ตืดหนู (Rat tapeworm)
วงจรชีวิตของพยาธิ
วงจรชีวิตของพยาธิชนิดนี้ จำเป็นต้องอาศัยโฮสท์ตัวกลาง 2 ชนิด โฮสท์กลาง ได้แก่ ตัวหมัด แมลงปีกแข็ง แมลงสาป และแมลงอื่นๆ เมื่อแมลงเหล่านี้กินไข่พยาธิตัวอ่อนเข้าไป ตัวอ่อนจะแตกออกมาจากไข่แล้วเจริญเติบโตต่อไปเป็น cysticercoid ในตัวสัตว์เหล่านั้น โฮสท์เฉพาะซึ่งได้แก่ คน หนู มากินแมลงที่มีตัวอ่อนพวกนี้เข้าไป cysticercoid ก็จะเจริญไปเป็นพยาธิตัวแก่ต่อไปในลำไส้
อาการและลักษณะทางคลีนิค
อาจไม่ปรากฏอาการใดๆเลย หรืออาจมีปัญหากับระบบทางเดินอาหารบ้าง เช่น ปวดท้อง ท้องเดิน
การวินิจฉัยโรค
ตรวจพบไข่พยาธิในอุจจาระ
การรักษา
เช่นเดียวกับการรักษาตืดหมูและตืดวัว
การป้องกัน
คนติดโรคนี้โดยบังเอิญ และส่วนมากจะพบในเด็ก โดยกินโฮสต์กึ่งกลางพวกหมัด มอด ที่มีตัวก่อนของพยาธิเข้าไป เช่น แมลงที่อยู่ในอาหารสำเร็จรูป เมื่อมีแมลงนำโรคลงไปแล้วนำมาปรุงอาหารโดยไม่ทำให้สุก จึงต้องบป้องกันมิให้แมลงนำโรคเหล่านี้ตกลงไปในอาหารสำเร็จรูปสำหรับเด็ก นอกจากนั้นต้องเก็บอาหารอื่นๆ ให้มิดชิดป้องกันหนูจะมารบกวน และแพร่เชื้อโรคลงไปในอาหาร โดยการกำจัดหนู ที่จะมารบกวนในบ้าน กำจัดแมลงโดยใช้ยาฆ่าแมลง สอนเด็กให้รู้จักรักษาอนามัย ให้ถูกต้อง ไม่เก็บอาหารที่ตกลงพื้นมารับประทานอีก ก่อนทานอาหารควรล้างมือให้สะอาด
การป้องกัน
คนติดโรคนี้โดยบังเอิญ และส่วนมากจะพบในเด็ก โดยกินโฮสต์กึ่งกลางพวกหมัด มอด ที่มีตัวก่อนของพยาธิเข้าไป เช่น แมลงที่อยู่ในอาหารสำเร็จรูป เมื่อมีแมลงนำโรคลงไปแล้วนำมาปรุงอาหารโดยไม่ทำให้สุก จึงต้องบป้องกันมิให้แมลงนำโรคเหล่านี้ตกลงไปในอาหารสำเร็จรูปสำหรับเด็ก นอกจากนั้นต้องเก็บอาหารอื่นๆ ให้มิดชิดป้องกันหนูจะมารบกวน และแพร่เชื้อโรคลงไปในอาหาร โดยการกำจัดหนู ที่จะมารบกวนในบ้าน กำจัดแมลงโดยใช้ยาฆ่าแมลง สอนเด็กให้รู้จักรักษาอนามัย ให้ถูกต้อง ไม่เก็บอาหารที่ตกลงพื้นมารับประทานอีก ก่อนทานอาหารควรล้างมือให้สะอาด
โรคพยาธิตืดสุนัข(Dipylidiasis)
โรคพยาธิตืดสุนัขเกิดจาก Dipylidium canimtm มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า tapeworm ชื่อพร้อง Taenia canine, Taenia cucumerine, Taenia ellipta หรือ Dipylidium citoumerinum. Dipylidium caninum ได้อธิบายลักษณะและชนิดไว้ครั้งแรกโดย Linnaeus ในปี ค.ศ. 1758 ต่อมาปี ค.ศ. 1869 Melnikov พบระยะตัวอ่อนในไรสุนัข และปี ค.ศ. 1880 Grassi พบว่าหมัดหมาและหมัดคนเป็นโฮสต์กึ่งกลางได้
วงจรชีวิต
ตัวแก่ของ D. caninum อยู่ในลำไส้เล็กของโฮสต์ ซึ่งได้แก่สุนัขและแมว คนติดพยาธินี้โดยบังเอิญ ปล้องสุก (gravid proglottides) ของพยาธิจะหลุดออกมาจากโฮสต์ทีละปล้องหรือ 2-3 ปล้อง โดยออกมาเองหรือออกมากับอุจจาระ หรือออกมาเป็นปล้องต่อกันยาว เมื่อปล้องสุกบีบตัวหรือแตกภายนอกโฮสต์ ไข่จะติดอยู่ตามขนสัตว์ เช่น ติดอยู่ที่บริเวณรอบๆ ทวารหนัก หรือตกอยู่ตามที่นอนของสุนัข และแมว โฮสต์กึ่งกลางได้แก่ตัวอ่อนของหมัดสุนัข คือ Ctenocephalides canis หมัดแมว C. felis และไรสุนัข Trichobectes canis หมัดและไรพวกนี้จะกินไข่ ไข่จะถูก ย่อยปล่อยตัวอ่อน oncosphere ที่ลำไส้ของหมัดเจริญต่อไปกลายเป็นระยะติดต่อที่เรียก cysticercoid อยู่ในผนังลำไส้ของหมัดและไร เมื่อสุนัขหรือแมว รวมทั้งคนมากินหมัดหรือไร ที่มีตัวอ่อนระยะติดต่อโดยบังเอิญ หมัดหรือไรจะถูกย่อยปล่อยตัวอ่อนออกในลำไส้ แล้วเจริญเติบโตเป็นตัวแก่ เวลาตั้งแต่กินระยะติดต่อจนตรวจพบปล้องสุกออกมาภายนอก กินเวลาประมาณ 20 วัน
ระบาดวิทยาและนิเวศน์วิทยา
D. caninum พบได้ทั่วโลก ปกติเป็นพยาธิตัวแก่ในสุนัข และแมว ซึ่งในประเทศไทยพบว่าสุนัขไร้เจ้าของจะมีพยาธินี้ 32% จากการตรวจสุนัข 100 ตัว มีพยาธิตั้งแต่ 1-89 ตัว เฉลี่ยมีพยาธิ 20.5 ตัว ต่อสุนัขหนึ่งตัว (Ito, et. al., 1962) ในญี่ปุ่นเคยพบ 45.7% เฉลี่ย 17.5% (Ito et. al. 1958) รายงานในคนพบในแถบยุโรป ฟิลิปปินส์ จีน ญี่ปุ่น โรดีเซีย อาร์เจนตินา และในสหรัฐอเมริกา ในประเทศไทยยังไม่เคยมีรายงานพยาธิชนิดนี้ในคน
พยาธิสภาพและอาการ
ในสุนัขและแมวไม่ค่อยมีอาการมาก นอกจากในรายที่มีพยาธิชนิดนี้มากๆ อาจทำให้สุนัขหรือแมวอ่อนแอ บางครั้งเห็นแถบของพยาธิออกมาติดค้างอยู่ในรูทวารหนัก สุนัขอาจจะนั่งเอาก้นลากไปกับพื้น มีอาการร้องวิ่งไป มีอาการทางประสาท อาหารไม่ย่อย ในสุนัขอาจพบพยาธิได้มากกว่าหนึ่งตัว แต่ในคนมีน้อยมาก และส่วนมากก็มีพยาธิตัวเดียว จึงไม่ค่อยมีอาการอะไร แต่ในเด็กอาจจะมีผิดปกติบ้าง เช่น ปวดยอดอก ท้องเดิน นบริเวณทวารหนัก มีอาการแพ้ เช่น มีผื่นขึ้น อาจน้ำหนักลด
การรักษา
1.ใช้ quinacrine, niclosamide หรือ paromomycin
2.Niclosamide ( Yomesan ) มีฤิทธ์ฆ่าเชื้อพยาธิตัวตืดสุนัข เป็นยาเม็ดขนาด 0.5 กรัม ทาน 4 เม็ด เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน รอประมาณ 2 ชั่วโมง อาจทานยาถ่ายตามเช่น ดีเกลืออิ่นตัว 30
ซี.ซี. เมื่อให้ยาถ่ายจะพบว่าตัวพยาธิจะถูกขับออกมา แต่ถ้าไม่ให้ยาถ่ายพยาธิที่ตายจะค่อยๆถูกย่อย
สลายปนออกมากับอุจจาระไป ข้อควรระวังการให้ยาถ่ายคือควรให้ยากันอาเจียนก่อนให้ยาถ่าย และ
ควรให้ยาถ่ายเพื่อกำจัดปล้องออกมา เพราะถ้าตัวแก่ตายอยู่ภายในร่างกาย ปล้องที่ถูกย่อย กอรปกับ
การมีอาการท้องผูก ท้องอืด หรือคลื่นไส้อาเจียน จะทำให้ไข่พยาธิที่แตกออกมาจากปล้องถูกย่อยและ
ขย้อยกลับมาที่บริเวณลำไส้เล็กไข่พยาธิตัวอ่อนระยะ Oncospore (ออนโคสปอร์) ก็จะออกมาพร้อม
กับไชทะลุลำไส้กระจายไปฝังตัวตามเนื้อเยื่อส่วนต่างๆทั่วร่างกายกลายเป็นระยะ cysticercus
( ซิสติเซอร์คัส ) ขึ้นมาได้
3.Mebendazole (Fugacar) เป็นยาเม็ดขนาด 100 มิลลิกรัม ทานครั้งละ 2 เม็ด ให้กินเช้าเย็นติดต่อกันนาน 4 วัน ให้ผลในการรักษาถึงร้อยละ 90
การวินิจฉัย
1.ตรวจดู gravid proglottides ในอุจจาระ หรืออาจพบ egg capsule ในอุจจาระ แต่โอกาสที่จะพบไข่ในอุจจาระมีน้อยมาก
2.ตรวจพบไข่พยาธิในอุจจาระ หรือตรวจพบไข่รวมกันเป็นแคปซูลในปล้องแก่ของพยาธิตัวตืด
การป้องกันและควบคุม
คนที่มีพยาธิตัวนี้จะเกิดจากความบังเอิญและเป็นไม่มาก ควรได้ถ่ายยา สุนัข และแมวที่เป็นโรคนี้ควรได้ถ่ายยาด้วย เพื่อกำจัดแหล่งที่โรคจะติดต่อไปยังคน และกำจัด เห็บ หมัด ไร ให้แก่สุนัขและแมว ต้องสอนเด็กให้ระวังไม่เล่นกับสุนัข หรือแมวใกล้ชิดเกินไป อาจจะได้รับโรคนี้จากเห็บ หมัด และไร จากสัตว์เลี้ยงพวกนี้ได้
Echinococcus granulosus โรคถุงน้ำ hydatid
พยาธิตัวตืดแคระเป็นพยาธิตัวตืดที่มีขนาดเล็กที่สุดที่พบในคน มันจะอยูในลำไส้เล็ก และอาจมีจำนวนถึงพันตัว ตัวพยาธิมีความยาวประมาณหนึ่งนิ้วถึงหนึ่งนิ้วครึ่ง (25-30 ม.ม.) ส่วนมากพยาธิชนิดนี้จะพบในเด็กมากกว่าในผู้ใหญ่ มันจะออกไข่ในลำไส้เล็กและจากไข่แตกออกเป็นตัวจนเจริญเต็มที่ในขณะที่อยู่ในลำไส้เล็กนี้ก็ได้ พยาธิชนิดนี้จะเข้าสู่ร่างกายในระยะที่ยังเป็นไข่ติอยู่กับอาหาร พยาธิตัวตืดชนิดนี้อาจทำให้มีอาการทางระบบประสาทและเบื่ออาหาร บางครั้งอาจไม่มีอาการแสดงออกเลยก็ได้ ไข่พยาธิจะปนออกมากับอุจจาระ สามารถตรวจพบโดยใช้กล้องจุลทรรศน์พยาธิตัวตืดแคระนี้ เป็นประเภทเดียวกับพยาธิตัวตืดที่พบในหนูและสุนัข ทำให้เกิดโรคในแมวได้เช่นเดียวกัน พยาธิที่พบในสัตว์เหล่านี้จะตัวเล็ก โดยปกติจะไม่ติดมาที่คน แต่หากเป็นการบังเอิญ ถ้าอาหารมีตัวหนอนหรือแมลงซึ่งมีตัวอ่อนพยาธิอยู่ก็ทำให้พยาธิเข้าสู่ร่างกายคนได้
Echinococcosis พบระบาด บ่อยตาม แถบภูมิประเทศ ที่เลี้ยงแกะ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ ปัจจุปันนี้ พบมาก แถบอัฟริกาตะวันออก บางประเทศ ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนโดยเฉพาะ ประเทศกรีกซ์ และ บางส่วน ของประเทศรัสเซีย ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ เช่น ประเทศอูรุกวัย ชิลี และอาร์เยนตินา เป็นต้น สำหรับ ประเทศไทย พบได้น้อย เคยมีรายงาน ไว้ใน วารสารทางการแพทย์ ไม่มากนัก จังหวัด ที่เคยมี รายงานพบ โรคนี้ ได้แก่ จังหวัดราชบุรี พบในผู้ป่วยหญิง มีอาชีพ เลี้ยงวัว และแกะขาย และ มีสุนัข ไว้เฝ้าบ้าน รายงานส่วนใหญ่ พบที่ ปอด และตับ
วงจรชีวิต
ตัวแก่ E. granulosus อาศัยอยู่ใน ลำไส้ของ definitive host ซึ่งได้แก่ สัตว์กินเนื้อ ทั้งหลายโดยเฉพาะ สุนัข ตัวแก่ปล่อย gravid proglottids ปะปน ออกมากับ อุจจระ จากนั้น gravid proglottids แตก และ ปล่อยไข่ เป็น จำนวน มาก ออกม ากระจาย ตามพื้นดิน พวก intermediate host ได้แก่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หลายชนิด เช่น แกะ วัว ควาย และคน กินอาหาร ที่มี ไข่พยาธิ ชนิดนี้ ปะปน อยู่เข้าไป ไข่ฟัก เป็น oncospheres ที่ลำไส้ และไชทะล ุผ่านผนัง ลำไส้ เข้าสู่ กระแสเลือด และเจริญเป็น hydatid cyst ตามอวัยวะต่างๆ ต่อไป สัตว์ที่เป็น definite host มากิน อวัยวะ ของสัตว์ ที่มี cyst เข้าไปใน ทางเดินอาหาร เมื่ออยู่ใน ลำไส้ ของสุนัข hydatid cyst จะเจริญไปเป็น ตัวแก่เพศผู้ และ เพศเมีย อาศัยอยู่ในลำไส้ ต่อไป จนครบ วงจรชีวิตของมัน สำหรับ E.multilocularis และ E.oligarthrus มี สุนัขจิ้งจอก และแมว รวมถึงเสือบางชนิด เป็น definite host และมี หนู เป็น intermediate host
การติดต่อ
คนติดโรคนี้ โดยการกินไข่ หรือ gravid proglottids ที่ปะปน อยู่ใน อุจจาระของ สุนัข ลงไปในลำไส้เล็ก บริเวณ duodenum ตัวอ่อน ที่มี ตะขอหกอัน (six-hooked-embryo) ที่ปาก จะฟัก ออกจาก ไข่และไช ทะลุผ่านผนัง ลำไส้ เข้าสู่ เส้นเลือดดำขนาดเล็ก ตัวอ่อน เหล่านี้ ผ่านไปที่ ตับ และ ปอด เข้าสู่ ห้องหัวใจด้านซ้าย และ ออกสู่ กระแสโลหิตแดง เพื่อไปฝัง ตาม อวัยวะอื่นๆ ต่อไป
พยาธิสภาพ
ตัวอ่อน (six-hooked-embryo) เมื่อเข้าสู่ กระแสเลือด ส่วนมาก ไปฝังตัว ในเนื้อตับ และปอด ส่วนน้อย พบที่หัวใจ และอวัยวะอื่นๆ เกิดเป็น hydatid cysts ซึ่งใช้เวลา นานเป็นเดือน ในการเจริญเติบโต และค่อยๆ ขยายตัวใหญ่ ขึ้นจนได้ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 10 ถึง 20 เซนติเมตร ผนังของ cysts หนา ภายในมี น้ำใส พยาธิสภาพ ทางกล้องจุลทรรศน์ พบชั้นต่างๆ ของ cysts ซึ่งประกอบด้วย ชั้นนอกสุด เป็น fibrous wall ถัดเข้ามาเป็น ชั้นบางกว่า เรียกว่า laminated membrane และชั้นบางๆ ด้านในสุด เรียกว่า germinal layer ชั้นนี้มี ลักษณะ เป็น papillae ซึ่งจะพอง ออกเป็น pedunculated vesicles เรียกว่า brood capsules ภายในมี scolices เป็น จำนวนมาก
อาการทางคลีนิค
ขึ้นอยู่กับ อวัยวะที่ hydatid cyst ฝังอยู่ รวมทั้งขึ้น อยู่กับ ขนาดของ ซิส (cyst) ถ้าพบที่ ปอด ผู้ป่วย จะมีอาการ ไอ บางครั้ง ไอเป็นเลือด หายใจขัด และ ปวดแน่นหน้าอก ถ้าซิส แตก อาจมีอาการ ไอเป็นเสมหะ หรือ เกิด pneumothorax และ empyema ได้ ผู้ป่วย บางราย เกิดภูมิแพ้ (hypersensitivity) ต่อสารใน ถุงซิส ทำให้เกิด อาการคัน บวม เป็นลมพิษ หรือเป็น หืด (asthma) ถ้าพบที่ ตับ จะมาด้วยเรื่อง คลำก้อน ได้ที่ หน้าท้อง หรือมี อาการ ตัวเหลือง และเกิด portal hypertension ได้ ถ้าพบที่ หัวใจ ห้องขวาบน อาจแตก ทำให้ผู้ป่วย ตาย จากการอุดตัน เส้นเลือดในปอด ด้วยชิ้นส่วนของ cyst (multiple pulmonary embolism) หรือ พบที่ เยื้อหุ้มหัวใจ และแตก ทำให้เกิด hemopericardium ได้
การวินิจฉัยโรค
- โดยทำ การผ่าตัดเอา ชิ้นเนื้อ มาตรวจทาง พยาธิวิทยา พบ hydatid cyst ภายในบรรจุด้วย scolices หรือ ตรวจหาทาง ปฎิกิริยา ภูมิต้านทาน เช่นทำ skin test หรือ indirect hemagglutination test และ enzyme-linked immuno-sorbent assay
พยาธิตืดปลา
พยาธิตัวตืดปลา เป็นพยาธิตัวตืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบในคน ในสหรัฐอเมริกาจะไม่ค่อยพบพยาธิชนิดนี้ ลำตัวอาจยาวถึง 40 ฟุต (มากกว่า 10 เมตร) แต่ละปล้องจะกว้างถึงครึ่งนิ้วฟุต (13 ม.ม.) ในหนึ่งตัวอาจมีถึงสามพันปล้องก็ได้ ไข่ของพยาธิชนิดนี้จะแตกเป็นตัวอ่อนในน้ำ แล้วตัวอ่อนเข้าไปอยู่ในตัวปลา เมื่อคนกินปลาที่เป็นพยาธิตัวตืด คนก็จะติดโรคพยาธินี้ไปด้วย พยาธิตัวตืดชนิดนี้จะพบในปลาน้ำจืด ปลาเค็มหรือปลารมควันจะไม่ทำให้ตัวอ่อนของพยาธิตายได้ นอกจากการทำให้ปลาสุก บางครั้งโลหิตจางที่เกิดจากพยาธิตัวตืดปลา จะมีอาการคล้ายกับการเป็นโรคโลหิตจางชนิดรุนแรง ผู้ที่เป็นโรคพยาธิตัวตืดปลาอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องหิว ท้องร่วง ปวดท้อง และน้ำหนักลดน้อยกว่าโรคพยาธิตัวตืดวัวซึ่งแต่ละประเทศก็มีความชุกของโรคแตกต่างกันไป พบว่าตัวอ่อนของพยาธิจะไปอยู่ตามกล้ามเนื้อของอวัยวะต่างๆ ของสัตว์ เช่นที่คอ ลิ้นและไหล่ การมีพยาธิตัวตืดหมูอาจจะไม่ทำให้เกิดอาการใดๆก็ได้ แต่ในบางรายอาจทำให้เกิดมีอาการเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร เช่น ปวดท้อง ท้องร่วงสลับกับอาการท้องผูก เป็นต้น
พยาธิชนิดนี้พบอาศัยอยู่ในลำไส้เล็ก พยาธิมีขนาดใหญ่และยาวตั้งแต่ 2-10 เมตร โดยปกติพยาธิมีสีเหลืองปนเทา โดยจะพบสีดำตรงกลางปล้อง (ไข่ที่อยู่ในมดลูก) ส่วนหัว (scolex) มีลักษณะคล้ายช้อน (spatula) ยาว 2-3 มม. และมีร่องที่ทำหน้าที่คล้าย sucker เรียกว่า Bothridia (bothria) อยู่ทั้งทางด้านบนและด้านล่างของหัว ลำตัวพยาธิที่เป็นปล้องทางตอนหน้าจะมีความกว้างมากกว่าส่วนยาวขณะที่ปล้องตอนท้ายๆ จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส อัณฑะกระจายอยู่ทางด้านข้างและบริเวณด้านบนของปล้อง โดยมี vas deference ไปต่อที่ cirrus และเปิดออกที่กึ่งกลางลำตัวทางด้านล่าง ช่องเปิดของอวัยวะสืบพันธุ์เพศเมีย (vagina) เปิดทางด้านหลังของ cirrus รังไข่มีลักษณะเป็น bilobe อยู่ทางท้ายของปล้อง ต่อม vitelline gland เป็นก้อนเล็กๆ อยู่ทางด้านข้างของปล้อง ขณะที่มดลูกเรียงตัวซ้อนกันหลายชั้นคล้ายรูปดอกกุหลาบจาก ootype ขึ้นไปถึง uterine pore และเปิดทางด้านหลังของ genital pore ไข่พยาธิมีขนาด 27-11 x 44-45 ไมครอน มีสีน้ำตาลอ่อนและมีฝาเปิด (operculum) ที่ปลายด้านหนึ่ง
วงจรชีวิต
ไข่พยาธิที่อยู่ในแต่ละปล้องจะถูกปล่อยออกจากปล้องทาง uterine pore และปนออกมากับอุจจาระลงไปในแหล่งน้ำแล้วตัวอ่อนมีการเจริญพัฒนาเป็นระยะ coracidium (hexacant embryo) จากนั้นตัวอ่อนก็จะถูกไรน้ำ (Diaptomus vulgaris, D. gracilis, D. gracilioides, D. denticornis, Cyclops stenuus, C. furcifer, C. vicinus) กินเข้าไปและไปเจริญเป็นระยะ procercoid ซึ่งมีลักษณะคล้ายถุง ต่อมาถูกโฮสต์กึ่งกลางชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดกินเข้าไป ตัวอ่อน procercoid จะพัฒนาและเจริญเป็นระยะ plerocercoid หรือ sparganum อยู่ระหว่างเส้นใยกล้ามเนื้อของปลา ตัวอ่อนระยะนี้มีลักษณะทึบและสะท้อนแสงสีขาว โฮสต์สุดท้ายซึ่งเป็นคน หรือสัตว์กินเนื้ออื่นๆติดพยาธิจากการกินปลาที่มีตัวอ่อนพยาธิในลักษณะสุกๆดิบๆ
ไข่พยาธิที่อยู่ในแต่ละปล้องจะถูกปล่อยออกจากปล้องทาง uterine pore และปนออกมากับอุจจาระลงไปในแหล่งน้ำแล้วตัวอ่อนมีการเจริญพัฒนาเป็นระยะ coracidium (hexacant embryo) จากนั้นตัวอ่อนก็จะถูกไรน้ำ (Diaptomus vulgaris, D. gracilis, D. gracilioides, D. denticornis, Cyclops stenuus, C. furcifer, C. vicinus) กินเข้าไปและไปเจริญเป็นระยะ procercoid ซึ่งมีลักษณะคล้ายถุง ต่อมาถูกโฮสต์กึ่งกลางชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดกินเข้าไป ตัวอ่อน procercoid จะพัฒนาและเจริญเป็นระยะ plerocercoid หรือ sparganum อยู่ระหว่างเส้นใยกล้ามเนื้อของปลา ตัวอ่อนระยะนี้มีลักษณะทึบและสะท้อนแสงสีขาว โฮสต์สุดท้ายซึ่งเป็นคน หรือสัตว์กินเนื้ออื่นๆติดพยาธิจากการกินปลาที่มีตัวอ่อนพยาธิในลักษณะสุกๆดิบๆ
พยาธิสภาพ
สุนัขและแมวที่ติดพยาธิมักไม่ค่อยรุนแรงเมื่อเปรียบเทียบกับการติดพยาธิในคน ไข่พยาธิที่พบในสุนัขมักจะมีขนาดเล็กกว่าที่พบในคน
พยาธิทำให้เกิดพยาธิสภาพจาก 3 ประการคือ
1. ของเสียที่เกิดจากการขับออกมาของพยาธิทำให้เกิดภาวะ Toxaemia
2. ถ้าเกิดการติพยาธิซ้ำๆจะทำให้เกิดการอุดตันในลำไส้ได้เนื่องจากพยาธิมีขนาดใหญ่และยาว
3. พยาธิแย่งสารอาหารโดยเฉพาะวิตามิน B12 ทำให้เกิดภาวะ severe depleted pernicious anemia
สุนัขและแมวที่ติดพยาธิมักไม่ค่อยรุนแรงเมื่อเปรียบเทียบกับการติดพยาธิในคน ไข่พยาธิที่พบในสุนัขมักจะมีขนาดเล็กกว่าที่พบในคน
พยาธิทำให้เกิดพยาธิสภาพจาก 3 ประการคือ
1. ของเสียที่เกิดจากการขับออกมาของพยาธิทำให้เกิดภาวะ Toxaemia
2. ถ้าเกิดการติพยาธิซ้ำๆจะทำให้เกิดการอุดตันในลำไส้ได้เนื่องจากพยาธิมีขนาดใหญ่และยาว
3. พยาธิแย่งสารอาหารโดยเฉพาะวิตามิน B12 ทำให้เกิดภาวะ severe depleted pernicious anemia
อาการ
คนป่วยที่ติดพยาธิมักไม่ค่อยแสดงอาการให้เห็น ยกเว้นในรายที่ติดพยาธิจำนวนมากอาจมีอาการทางประสาท การทำงานของทางเดินอาหารผิดปกติ เป็นโรคขาดสารอาหาร โลหิตจางและปวดท้อง อาจพบอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด หายใจไม่ออก และหมดสติได้
คนป่วยที่ติดพยาธิมักไม่ค่อยแสดงอาการให้เห็น ยกเว้นในรายที่ติดพยาธิจำนวนมากอาจมีอาการทางประสาท การทำงานของทางเดินอาหารผิดปกติ เป็นโรคขาดสารอาหาร โลหิตจางและปวดท้อง อาจพบอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด หายใจไม่ออก และหมดสติได้
การวินิจฉัย
ตรวจไข่พยาธิหรือปล้องที่หลุดออกมาอยู่ในอุจจาระ
ตรวจไข่พยาธิหรือปล้องที่หลุดออกมาอยู่ในอุจจาระ
การรักษา
1. quinacrine hydrochloride (Atabrine) ขนาด 0.5 กรัม
2. Niclosamide (Yomesan)
3. Paromomycin
4. Folic acid ขนาด 20-30 มก. นาน 7-10 วัน
5. Male fern extract 5 กรัม/คน (ผู้ใหญ่) ได้ผล 93.1%
6. Praziquantel 35 มก./กก. ได้ผล 100%
1. quinacrine hydrochloride (Atabrine) ขนาด 0.5 กรัม
2. Niclosamide (Yomesan)
3. Paromomycin
4. Folic acid ขนาด 20-30 มก. นาน 7-10 วัน
5. Male fern extract 5 กรัม/คน (ผู้ใหญ่) ได้ผล 93.1%
6. Praziquantel 35 มก./กก. ได้ผล 100%
http://www.thailabonline.com/tropical-cystode.htm
http://www.tm.mahidol.ac.th/th/tropical-medicine-knowledge/new/Cestoda.html
http://www.med.cmu.ac.th/dept/parasite/public/Taeniasis.htm
http://www.healthcarethai.com/
http://cai.md.chula.ac.th/chulapatho/chulapatho/lecturenote/infection/parasite/echinococcosi s.html
http://vet.kku.ac.th/pathology/somboon/DOGhelminth/lectape_diphyllo.htm
http://healthmeplease.com/โรคพยาธิตัวตืด-tapeworm.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น